วันวาเลนไทน์กำเนิดขึ้นมาในกรุงโรม ตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ในช่วงยุคของจักรพรรดิคลอดิอุส ที่สอง (Claudius II) เดิมทีจักรพรรดิคลอดิอุสมีนิสัยชอบข่มเหงรังแกผู้อื่น เขามักบังคับให้ชาวโรมันทุกคนต้องสักการะพระเจ้าทั้ง 12 องค์ ใครคิดต่อต้านจะได้รับทำโทษ และยังห้ามไม่ให้เกี่ยวข้องกับพวกคริสเตียนด้วย ทั้งนี้ มีนักบุญผู้หนึ่งที่ชื่อว่า วาเลนตินุส (Valentinus) เกิดความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระคริสเป็นอย่างมาก ด้วยการต่อต้านครั้งนี้ จึงทำให้เขาถูกขังคุก
ก่อนที่เขาสิ้นชีวิต ในช่วงสุดท้ายได้เกิดสิ่งแปลกประหลาดขึ้น ในขณะที่กำลังถูกคุมขังอยู่นั้น ผู้คุมขังได้ร้องขอให้วาเลนตินุสช่วยสอนจูเลียผู้เป็นลูกสาวที่ตาบอดตั้งแต่เกิด แม้ว่าจูเลียจะเป็นหญิงงามแต่ก็อาภัพมองไม่เห็น วาเลนตินุสจึงได้สอนประวัติศาสตร์ สอนการคิดคำนวณ และเล่าเรื่องพระเจ้าให้เธอฟัง ด้วยความฉลาดของจูเลีย เธอจึงสามารถรับรู้สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ได้อย่างถ่องแท้ และเธอก็รู้สึกเชื่อใจในตัววาเลนตินุส และมีความสุขอย่างมากเมื่ออยู่กับเขา
วันหนึ่งจูเลียเอ่ยถามวาเลนตินุสว่า “หากเราอธิษฐานต่อพระผู้เป็นเจ้า ท่านจะทรงได้ยินเราไหม” วาเลนตินุสจึงตอบไปว่า “พระองค์เจ้าได้ยินเราทุกคนแน่นอน” จูเลียจึงกล่าวต่อว่า “ท่านทราบหรือไม่ ในทุก ๆ เช้า ทุก ๆ เย็น ข้าทูลอธิษฐานขออะไร….ข้าต้องการอยากจะมองเห็นโลกใบนี้ และเห็นทุก ๆอย่างที่ท่านเล่าให้ฟัง” วาเลนตินุสจึงตอบกลับไปว่า “พระเจ้าย่อมมอบแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน แต่ต้องมีความเชื่อมั่นในพระองค์เท่านั้นเอง”
ด้วยความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้า จูเลียจึงนั่งคุกเข่าและกุมมืออธิษฐานขอพรไปพร้อมๆกับวาเลนตินุส และในขณะนั้นเอง ก็เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น มีแสงสว่างลอดเข้ามาในคุก และเมื่อจูเลียค่อย ๆลืมตาขึ้น เธอก็สามารถมองเห็นได้ ทั้งสองกล่าวขอบคุณในเรื่องมหัศจรรย์ที่พระเจ้ามอบให้ และเรื่องนี้ก็เป็ที่พูดถึงกันไปทั่วทั้งราชอาณาจักร
ในราตรีก่อนที่วาเลนตินุสจะเสียชีวิตจากการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายให้แก่จูเลีย ซึ่งลงท้ายจดหมายว่า “From Your Valentine” วาเลนตินุสเสียชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 และศพของวาเลนตินุสถูกเก็บไว้ในโบสถ์พราซีเดส (Praxedes) ที่กกรุงโรม ใกล้หลุมศพนั้น จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู เอาไว้เพื่อมอบแต่วาเลนตินุสผู้เป็นที่รัก จนทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูจึงกลายเป็นตัวแทนแห่งความรักนิรันดร์และมิตรภาพอันแสนยาวนาน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.museumsiam.org, และรูปภาพจาก google.com, travel.mthai.com